เมื่อแพทย์กลายเป็นผู้ป่วยและอาจตายคาหน้าที่ - ส่องปัญหาใหญ่ของแพทย์ในจีน
- Admin
- Feb 12, 2021
- 1 min read

ซินเจิ้งหรูอี้ ซินเหนียนฟาไฉ สวัสดีวันปีใหม่จีนทุกท่านจากนิสิตนักศึกษาแพทย์เพื่อประชาธิปไตย ไหน ๆเราก็เลยขอถือโอกาสนี้มาเล่าเรื่องของปัญหาที่แพทย์ในประเทศจีนประสบกันหน่อยดีกว่า (เอ๊ะ เกี่ยวมั้ยเนี่ย)
จากข้อความเห็นของกลุ่มแพทย์จากมหาวิทยาลัยแพทยศาสตร์แห่งหนึ่งในเซี่ยงไฮ้ ที่ตีพิมพ์ในวารสารThe Lancet ฉบับหนึ่งจากปี 2014 ได้มีการเขียนถึงประเด็นของการลดลงของการสมัครเข้าเรียนต่อในสาขาแพทย์ของนักเรียนในประเทศจีนซึ่งลดลงต่อเนื่องติดต่อกันมาเป็นปีที่สาม, การที่จำนวนนักเรียนที่สอบเข้าแพทย์ผ่านคะแนน “ขั้นต่ำ” มีจำนวนลดลงอย่างเห็นได้ชัด และจากผลสำรวจหนึ่งระบุว่าเมื่อถามแพทย์ในประเทศจีน พบว่ามีน้อยกว่า 7% ที่จะแนะนำให้ลูกหลานหรือเด็ก ๆ เรียนต่อในสาขาแพทยศาสตร์
พวกเขาเชื่อว่าสาเหตุสำคัญคือความรุนแรงต่อแพทย์ในประเทศจีน อันเกิดจากความสัมพันธ์ระหว่างแพทย์และผู้ป่วยที่เข้าขั้น “ท็อกซิก” (toxic)
ความรุนแรงต่อแพทย์และพนักงานสาธารณสุขในประเทศจีนนั้นเป็นปัญหาใหญ่ในวงการมายาวนานและมีแนวโน้มที่จะสูงขึ้นทุก ๆ ปี จากรายงานของสมาคมสถานพยาบาลแห่งชาติของจีน (Chinese Hospital Association) ระบุว่ามีการทำร้ายร่างกายในโรงพยาบาลเกิดขึ้น 27.3 ครั้งโดยเฉลี่ยต่อโรงพยาบาลต่อปี ข้อมูลจากปี 2012 นี้สูงขึ้นจาก 20.6 ครั้งในปี 2006 ส่วนสถิติที่รวบรวมโดยกระทรวงสาธารณสุข (Ministry of Health) พบว่ามีความรุนแรงต่อแพทย์หรือเจ้าหน้าที่ด้านสุขภาพในสถานพยาบาลกว่า 10,000 ครั้งในปี 2005 ก่อนที่จะเพิ่มขึ้นถึง 17,000 ครั้งในปี 2010 จากข้อมูลคร่าว ๆ เกล่านี้เราน่าจะพอเห็นภาพรวมแล้วว่าปัญหานี้หนักข้อจริง ๆ
และในจำนวนนี้ มีอย่างน้อย 24 คนในทศวรรษ 2010 ที่ผ่านมาที่ต้องสูญเสียชีวิตให้กับความรุนแรงเหล่านี้
กรณีที่เป็นข่าวใหญ่ดูจะมีอยู่ครั้งหนึ่งเมื่อปี 2013 ที่แพทย์คนหนึ่งในมณฑลเจ้อเจียงถูกผู้ป่วยกระหน่ำแทงจนเสียชีวิตหลังผู้ป่วยอ้างว่ารู้สึกแย่ลงหลังการผ่าตัด และอีกข่าวหนึ่งจากวันคริสต์มาสของปี 2019 ที่แพทย์ฉุกเฉินถูกญาติผู้ป่วยกระหน่ำแทงจนเสียชีวิตขณะพยายามอธิบายแนวทางการรักษาผู้ป่วยที่โรงพยาบาลแห่งหนึ่งในปักกิ่ง
แล้วอะไรทำให้ผู้ป่วยหัวร้อนถึงขั้นไปทำร้ายหมอกัน ?
สาเหตุต่าง ๆ ที่ดูเป็นที่พูดถึงจะมีทั้งการขาดความรู้และความเข้าใจด้านสุขภาพ (health literacy) ของชาวจีน โดยเฉพาะในพื้นที่ห่างไกล ซึ่งนำไปสู่ความคาดหวังผิด ๆ ต่อการเข้ารับการรักษาพยาบาล นอกจากนี้ค่าใช้จ่ายด้านสุขภาพที่สูงขึ้นเนื่องจากรัฐบาลจีนขาดประสิทธิภาพในการอุดหนุนการรักษาพยาบาลก็มีส่วนทำให้ผู้ป่วย “หัวร้อน” จากการรักษาโดยแพทย์และพยาบาลที่มีจำนวนน้อย และต้องทำวานกันอย่างหนักหน่วงเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว ซึ่งรวมกันอาจส่งผลต่อการรักษาที่มีคุณภาพลดลงไปอีก
ทั้งหมดนี้ยังถูกซ้ำด้วยปัญหาสำคัญคือการขาดการเข้าถึงช่องทางทางกฎหมายในการฟ้องร้องหรือไกล่เกลี่ยกับแพทย์ ทำให้ผู้ป่วยที่ไม่สบอารมณ์จากการรักษาไม่มีช่องทางอื่นนอกจากต้องลงมือก่อการด้วยตนเอง
ซ้ำร้าย ความไม่พอใจนี้ยังนำไปสู่ธุรกิจเถื่อน “ยีน่าว” (医闹 - Yī nào) ซึ่งเป็นคำเรียกกลุ่มคนที่รับจ้างเข้าไปทำร้ายแพทย์ พยาบาล หรือเข้าไปก่อกวนการทำงานของโรงพยาบาล รายงานฉบับหนึ่งจากปี2006 ที่สำรวจโรงพยาบาลระดับตติยภูมิ 270 แห่งในประเทศจีนพบว่ามากกว่า 70% ของโรงพยาบาลรายงานว่าเคยพอเจอกับการก่อกวนหรือทำร้ายร่างกายจาก “ยีน่าว”
แล้วรัฐบาลจีนว่าไง ?
รัฐบาลจีนจัดการกับปัญหานี้โดยการออกนโยบายให้มีการติดตั้งเครื่องตรวจจับโลหะ และให้เพิ่มจำนวนยามรักษาความปลอดภัย โดยเฉพาะในโรงพยาบาลขนาดใหญ่ นโยบายนี้ออกมาในปี 2013 หลังข่าวแพทย์ที่เจ้อเจียงถูกแทงเสียชีวิตที่เรากล่าวไปแล้วข้างต้นนั่นแหละ
อ่า ... ใช่ หลายคนก็ออกมาวิจารณ์ว่ามันไม่ช่วยอะไรเลย
ดูเหมือนปัญหานี้ของแพทย์ในจีนจะไม่มีแววจบง่าย ๆ จนกว่ารัฐบาลจีนผู้เกรียงไกร (?) จะลงมาจัดการกับปัญหานี้ให้จริงจังเหมือนที่จัดการกับฮ่องกง ชาวอุยกูร์ พรมแดนกับอินเดีย และเขื่อนกั้นแม่น้ำโขง
ที่มา
Comments