top of page

ถ้าการเมืองไม่ดี แพทย์ก็หนีจากประเทศตัวเอง: กรณีของประเทศเลบานอน

  • Writer: Admin
    Admin
  • May 3, 2021
  • 1 min read

“ฉันให้ทุกสิ่งทุกอย่างกับเลบานอนมาตลอดสองปี แต่เลบานอนไม่เคยให้อะไรตอบแทนฉันเลย”


แพทย์หญิงผู้เคยประจำอยู่ที่โรงพยาบาลระดับต้น ๆ แห่งหนึ่งในกรุงเบรุต เมืองหลวงของประเทศเลบานอน บอกกับผู้สื่อข่าว ขณะกำลังหาทาวีซ่าเพื่อทำงานในสหรัฐ อีกไม่นาน เธอและแพทย์อีกชุดใหญ่ของประเทศเลบานอน ก็จะทยอยเดินทางออกจากประเทศบ้านเกิดเมืองนอนของตัวเองไปหาชีวิตที่ดีกว่าด้วยพิษการเมืองและเศรษฐกิจที่เกิดจากการบริหารอันล้มเหลวของรัฐบาลที่คาราคาซังมาก่อนที่จะมีวิกฤตโรคระบาดโควิด-19 เสียอีก “ฉันไม่เห็นอนาคตในประเทศนี้” “ไม่คิดว่าลูกหลานตัวเองจะมีอนาคตในประเทศนี้” คือความคิดของแพทย์อีกหลายคนต่อบ้านเกิดเลบานอนของตน


เลบานอนมีรัฐบาลที่แย่ขนาดนั้นเชียว?


หากทุกคนยังพอจำข่าวเมื่อปลายปี 2020 ที่ผ่านมา ที่เกิดการระเบิดใหญ่ในโกดังริมท่าเรือ จนทำให้เมืองทั้งเมืองกลายเป็นเหมือนเมืองที่ถูกถล่มเป็นฉากหลังในภาพยนตร์ซูเปอร์ฮีโร่ นั่นแหละ เกิดขึ้นที่เมืองหลวงของประเทศเลบานอน - เมืองเบรุต (Beirut)


ประเทศเลบานอนเป็นประเทศในแถบตะวันออกกลาง เคยเป็นจุดหมายปลายทางท่องเที่ยวด้วยทิวทัศน์ของเบรุตริมทะเลเมดิเตอร์เรเนียนและวัฒนธรรมที่ผสมผสานท้องถิ่นอันหลากหลายเข้ากับวัมนธรรมของอาณานิคมฝรั่งเศสอย่างลงตัว ฟังดูเป็นประเทศที่น่าไปเที่ยวมากประเทศหนึ่งเลยล่ะ


นับตั้งแต่ได้รับเอกราชจากฝรั่งเศส ประเทศเลบานอนเป็นประเทศที่ใช้ระบบเสคทาเรียน (Sectarianism) มาโดยตลอด ระบบนี้ฝังลึกอยู่ในระบบของราชการเลบานอน ตั้งแต่ระดับใหญ่สุดของผู้นำประเทศ ไปจนถึงการกำหนดโควตาการว่าจ้างข้าราชการระดับบริหารในหน่วยงานรัฐ ทั้งหมดนี้ยิ่งถูกซ้ำเข้าไปในทุกอณูของระบบราชการหลังการลงนามในข้อตกลงตาอิฟ (Taif Agreement) เพื่อสิ้นสุดสงครามกลางเมืองเลบานอนในปี 1990 หลังยืดเยื้อมาตั้งแต่ปี 1975


ระบบเสคทาเรียน มาจากคำว่า section คือการแบ่งส่วนนั่นแหละ ระบบนี้ให้ในทุก ๆ ส่วนของราชการต้องมีคนจากกลุ่มศาสนาและความเชื่อต่าง ๆ กระจายอยู่เป็นสัดส่วนต่าง ๆ สอดคล้องกับปริมาณของกลุ่มนั้นในประเทศ เริ่มจากระดับใหญ่สุดของรัฐบาลคือ ประมุขของรัฐ (ประธานาธิบดี) ต้องเป็นชาวคริสต์นิกายแมรอไนต์ (Maronite) ซึ่งเป็นประชากรส่วนใหญ่ (ราว 27%) ของประเทศ, ประธานสภานิติบัญญัติต้องเป็นชาวมุสลิมนิกายชีอะฮ์ และนายกรัฐมนตรีต้องเป็นชาวมุสลิมนิกายซุนนี รัฐสภาตลอดจนรัฐมนตรีกระทรวงต่าง ๆ ก็ให้แบ่งเป็นสามส่วนนี้ เพื่อที่จะได้ “สะท้อน” ถึงกลุ่มประชาชนที่หลากหลายของประเทศนี้ แม้แต่ในตำแหน่งระดับบริหารของหน่วยงานรัฐระดับต่าง ๆ ก็มีการจัดสรรไปตามกลุ่มเหล่านี้และกลุ่มศาสนาและนิกายย่อย ๆ ที่รัฐขึ้นทะเบียนไว้อีกกว่า 20 กลุ่ม


พูดง่าย ๆ คือเขาเลือกคนจากพื้นหลังทางศาสนาเป็นหลัก ไม่ใช่จากความสามารถ คุณจะเก่งแค่ไหน แต่ถ้าโควตาศาสนาคุณหมด คุณก็อด


ระบบเสคทาเรียนที่ว่านี้ฉุดรั้งการพัฒนาของประเทศเลบานอนมาตลอด มีการประท้วงให้ยกเลิกระบบนี้และเรียกร้องประขาธิปไตยกันอยู่หลายต่อหลายครั้ง แต่ก็ไม่มีครั้งใดที่สำเร็จ และด้วยความที่รัฐบาลขาดคนมีความสามารถมาทำงาน (ตรงข้ามกับที่เขาว่า “put the right man on the right job”) การบริหารราชการจึงเป็นไปอย่างเข้าขั้น “ห่วยแตก” การคอร์รัปชั้นในประเทศเลบานอนอยู่ในระดับอันตรายด้วยดัชนีภาพลักษณ์คอร์รัปชั่น (CPI) ในปี 2020 อยู่อันดับที่ 149 จาก 180 ประเทศทั่วโลก (เทียบกับไทยซึ่งอยู่ที่ 104)


คุณภาพชีวิตและเศรษฐกิจที่พินาศคือผลลัพธ์ของรัฐบาลที่ห่วยแตก


นับตั้งแต่ปี 2019 ก่อนจะมีวิกฤตโรคระบาดโควิด-19 ไปทั่วโลกนั้น เลบานอนอยู่ในภาวะเศรษฐกิจตกต่ำที่สุดในรอบหลายทศวรรษ ความไร้ความสามารถของรัฐบาลในการบริหารประเทศ, การคอร์รัปชั่น, ระบบเส้นสาย และความพยายามคงอยู่ในอำนาจของผู้นำผ่านระบบอุปถัมภ์ ล้วนแล้วแต่เป็นปัจจัยสำคัญที่นำไปสู่ภาวะเศรษฐกิจตกต่ำ ซึ่งนำไปสู่ภาวะถังแตกของรัฐบาล และขาดการพัฒนาหรือแม้แต่ดูแลระบบสาธารณูปโภคพื้นฐาน จนถึงขั้นต้องตัดไฟกันเป็นเวลาเพราะไม่มีไฟฟ้าพอ โรงพยาบาลบางที่ถึงกับต้องมีเครื่องปั่นไฟสำรองของตัวเอง ไม่งั้นจู่ ๆ โดนตัดไฟก็ชิบหายแน่


ความยากจนในประเทศพุ่งทะยานขึ้นจนเกือบหนึ่งในสามของประชากรถูกจัดว่าอยู่ในสภาวะยากจน(under the poverty line), สัดส่วนหนี้สาธารณะต่อจีดีพีอยู่ที่ 150% (สูงที่สุดเป็นอันดับสามของโลกในตอนนั้น) และค่าเงินที่สูญเสียมูลค่าการซื้อลงเรื่อย ๆ จนคนแห่กันไปแลกเงินเก็บเป็นสกุลดอลลาร์สหรัฐ ที่ต่อมารัฐก็จำกัดเงินที่ถอนได้ในแต่ละวันอีก นี่คือปี 2019 ก่อนจะมีโควิดเสียอีก แล้วคิดดูว่าพอมีวิกฤตินี้ประเทศจะล่มจมขนาดไหน


ทั้งหมดมาถึงจุดแตกหักเมื่อรัฐบาลถังแตกจนต้องเริ่มเก็บภาษีแปลก ๆ หนึ่งในนั้นคือภาษีส่งแชทในวอทส์แอพ (ซึ่งเขาใช้ทั่วไปเหมือนไลน์ในบ้านเรา) นึกภาพว่าทุก ๆ แมสเสจที่เราส่งในไลน์จะต้องเสียเงินเป็นภาษีเข้ารัฐบาลที่ไม่เอาไปทำนุบำรุงอะไรประเทศเลย มันน่าโกรธไหมล่ะ (อ้าว ทำไมนึกภาพออกเร็วจัง) การประท้วงทั่วประเทศจึงถึงปะทุขึ้นในปี 2019 ลามมาเรื่อยถึง 2020 จนกระทั่งเกิดโควิดระบาด


และแล้วในเดือนสิงหาคม 2020 โกดังเก็บของที่ยึดมาก็ระเบิด เมืองถูกทำลายราบเป็นหน้ากลอง ไม่ต่างกันกับความอดทนของประชาชนที่มีต่อรัฐบาลที่ถูกระเบิดหายไปอีกครั้ง อีกครั้ง และอีกครั้ง


ถ้าคุณต้องเจอสภาพประเทศที่หมดหวังแบบนี้ เป็นคุณ คุณจะหนีไหมล่ะ


“หนีสิ” คือคำตอบจากหมอและบุคลากรทางการแพทย์จำนวนราว 1 ใน 5 ของประเทศเลบานอน


แพทย์ในเลบานอน เช่นเดียวกันกับชาวเลบานอนทั้งปวง ได้รับผลกระทบอย่างหนักจากภาวะเศรษฐกิจทุเรศทุรังและการจัดการทุกอย่างไม่รอดของรัฐบาล ซึ่งไม่ใช่แค่ตัวรัฐบาล (เพราะหลังเหตุระเบิด รัฐบาลชุดนั้นก็ลาออกจากตำแหน่ง ชุดใหม่เข้ามา ทุกอย่างเหมือนเดิม) แต่หมายถึงระบบรัฐบาลทั้งระบบ


รายได้ของทุกคน รวมถึงแพทย์ พยาบาล และบุคลากรทางการแพทย์อื่น ๆ หมดความหมายลงเพราะค่าเงินหมดมูลค่า โดยเฉลี่ยแล้ว มูลค่ารายได้ของแพทย์ลดลงเหลือเพียงหนึ่งในห้าจากปีก่อนเท่านั้น และอีกหลายคนต้องเจอกับภาวะ “ตกเบิก” และค้างเงินเดือนเป็นเวลาหลายเดือน ถึงแม้จะเป็นแพทย์ในโรงพยาบาลระดับต้น ๆ หรือโรงพยาบาลเอกชนนานาชาติที่รายได้งาม ก็อาจไม่เพียงพอต่อการจุนเจือครอบครัว โดยเฉพาะหลังเหตุระเบิดในเบรุต เมืองหลวงของเลบานอนที่เกิดจากความไม่สน 4 สน 8 ของรัฐบาล และการคอร์รัปชั่นเรื้อรังในระบบราชการ แรงระเบิดทำให้โรงพยาบาลหลายแห่งในเมืองหลวงใช้งานไม่ได้ มีการประมาณการว่าห้อง ICU กว่า 80% ในเบรุตถูกทำลายหรือใช้งานไม่ได้เพราะถูกแรงระเบิด เฮ้ย คนเป็นหมอมันก็ท้อเป็นเว้ย


จากบทสัมภาษณ์ในเดือนกุมภาพันธ์ 2021 นายแพทย์เลขานุการของแพทยสภาเลบานอน (Lebanese Order of Physicians) ระบุว่าแพทย์ราว 16 ถึง 20 % ได้เดินทางออกจากประเทศหรือวางแผนพร้อมจะเดินทางออกจากประเทศแล้ว โดยประเทศส่วนใหญ่ที่เป็นจุดหมายปลายทางคือประเทศแถบอ่าวอาหรับ(Gulf countries) ที่มีเศรษฐกิจและการเมืองที่มีประสิทธิภาพกว่าเลบานอนเป็นไหน ๆ โดยเฉพาะสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ (UAE) ที่อ้าแขนรับแพทย์มากเป็นพิเศษเพื่อมาช่วยสนับสนุนระบบสาธารณสุขและเศรษฐกิจ (จากธุรกิจกลุ่มสุขภาพ) ในบ้านเขา


เบรุตและเลบานอนเคยเป็นศูนย์กลางการแพทย์ของภูมิภาค และเป็นจุดหมายปลายทางสำคัญของการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพและการแพทย์มาโดยตลอด (เอ๊ะ เหมือนไทยเลยหรอ) แต่หลังระบบการเมืองที่ล้มเหลวที่นำไปสู่การล่มสลายของเศรษฐกิจ ตำแหน่ง “โรงพยาบาลแห่งภูมิภาค” ดูเหมือนกำลังจะถูกริบไปจากเลบานอน ด้วยระบบสาธารณสุขที่กำลังล่มสลายอย่างช้า ๆ


แพทย์หาย วิกฤติสาธารณสุขโผล่


หมอและพยาบาลที่หายไปจากประเทศเลบานอนจำนวนมากเป็นแพทย์เฉพาะทาง ศัลยแพทย์ พยาบาลห้องผ่าตัด และแพทย์-พยาบาลห้องฉุกเฉิน ส่วนใหญ่อายุ 35 ถึง 55 ปี กลุ่มที่เรียกได้ว่าเป็นกระดูกสันหลังของระบบสาธารณสุข และอย่าลืมว่าโลกยังคงอยู่ภายใต้วิกฤตโรคระบาดที่ไม่รู้จะสิ้นสุดเมื่อไหร่เลบานอนก็กำลังเผชิญวิกฤตที่ไม่อาจทดแทนได้ด้วยจำนวนเตียง ยา หรือถังออกซิเจน ตราบใดก็ตามที่ไม่มีบุคลากรมาดำเนินงาน ระบบสาธารณสุขของเลบานอนกำลังจะถึงจุดล่มสลายในอีกไม่นาน


แพทย์จากแพทยสภาเลบานอน ระบุว่า อาจจะต้องใช้เวลาสัก 10 ปี กว่าที่ระบบสาธารณสุขเลบานอนจะเรียกบุคลากรสายสาธารณสุขกลับมาจนระบบกลับมาสู่ภาวะปกติอีกครั้ง ในขณะที่แพทย์และพยาบาลจำนวนมากก็ขอบายกับบ้านเกิดตัวเอง จนกว่าระบบการเมืองจะเป็นประชาธิปไตยแท้จริง


จากกรณีของเลบานอน ซึ่งเป็นกรณีล่าสุดของภาวะการทะลักออกนอกประเทศของหมอและพยาบาล จนกำลังนำไปสู่การล่มสลายของระบบสาธารณสุข ก็อาจกล่าวได้ว่าทุกอย่างเกิดจากระบบการเมืองที่ไม่เป็นประชาธิปไตย การคอร์รัปชั่น ระบบอุปถัมภ์ และความไม่เห็นค่าประชาชนของรัฐบาล


จะว่าไปแล้ว ทำไมภาวะเศรษฐกิจและการเมืองแบบนี้มันคุ้น ๆ และรู้สึกใกล้ตัวแปลก ๆ กันนะ


อ้างอิง

เกี่ยวกับกรณีแพทย์ทะลักออกนอกประเทศ

เกี่ยวกับวิกฤติการณ์ทางการเมืองและเศรษฐกิจของเลบานอน


เกี่ยวกับระบบเสคทาเรียน (sectarianism) ในเลบานอน

Comments


© 2021 นิสิตนักศึกษาแพทย์เพื่อประชาธิปไตย

bottom of page