top of page

“การคุกคามทางเพศในโรงเรียน” ปัญหาร้ายใต้พรมของสังคมมายาวนาน

  • Writer: Admin
    Admin
  • Nov 23, 2020
  • 1 min read

ในการชุมนุมของกลุ่มนักเรียนเลวที่จัดขึ้นใต้รถไฟฟ้าบีทีเอสสถานีสยามที่ผ่านไปนั้นได้ทำให้สังคมเกิดการถกเถียงและพูดคุยเกี่ยวกับปัญหาต่าง ๆ ในโรวเรียนมากขึ้น หนึ่งในประเด็นที่เป็นที่พูดถึงมากคือเรื่อง “การระรานทางเพศในโรงเรียน” ในโอกาสนี้ นิสิตนักศึกษาแพทย์เพื่อประชาธิปไตย จึงอยากจะพาทุกท่านมารู้จักกับปัญหานี้ ไปจนถึงผลตามมา และข้อเสนอแนะต่อการแก้ปัญหานี้กัน


ทำความรู้จักกับ “การระรานทางเพศในโรงเรียน” (sexual harassment in education)

การระรานทางเพศในโรงเรียนเป็นคำที่ใช้เรียกพฤติกรรมไม่พึงประสงค์ที่ส่งผลให้นักเรียนที่ถูกระรานมีปัญหาในการเรียน ทำงาน หรือเข้าร่วมกิจกรรมของโรงเรียน การระรานทางเพศในที่นี้กินความหมายตั้งแต่การระรานทางคำพูด (verbal) เช่นการแซว ไปจนถึงการล่วงเกินทางเพศ (sexual assault; การสัมผัส ลูบไล้ คลำ หรือล่วงเกินทางกายด้วยจุดหมายทางเพศโดยปราศจากความยินยอมจากผู้ถูกกระทำ) และการข่มขืนกระทำชำเรา (rape; การล่วงเกินทางเพศที่มีการสอดใส่ของอวัยวะหรือการพยายามมีเพศสัมพันธ์) การระรานทางเพศในโรงเรียนนั้นเกิดขึ้นทั้งจากผู้กระทำเป็นนักเรียน ครู และบุคลากรอื่น ๆ ของโรงเรียน มีทั้งตั้งใจให้เกิดความอับอาย, กระทำไปโดยไม่รู้ว่าเป็นเรื่องที่ผิด ไปจนถึงกระทำโดยครูเพื่อเป็นข้อแลกเปลี่ยนกับคะแนนของนักเรียน (ที่เรียกว่า “เซ็กซ์แลกเกรด” Sex for Grade)


จากการระรานทางเพศถึง “โรค” PTSD

ความผิดปกติที่เกิดหลังความเครียดที่สะเทือนใจ หรือ Post-traumatic stress disorder (PTSD) เป็นความผิดปกติทางจิตเวชรูปแบบหนึ่งที่เกิดขึ้นภายหลังผู้ป่วยพบเจอกับเหตุการณ์ที่สะเทือนใจหรือทำร้ายจิตใจ (“trauma”) เช่น การถูกล่วงละเมิดทางเพศ สงคราม การถูกกลั่นแกล้งอย่างรุนแรงในวัยเด็ก (child abuse) หรืออุบัติเหตุรุนแรงที่เกิดขึ้นในวัยเด็ก อาการสำคัญของ PTSD คือความคิด ความรู้สึก และความฝันที่ “ไม่น่าอภิรมย์” (disturbing) อันอาจเกี่ยวกับเหตุการณ์ที่สะเทือนใจดังกล่าว นอกจากนี้ร่างกายอาจแสดงพฤติกรรมที่เป็นการพยายามหลีกเลี่ยงหรือต่อต้านสิ่งที่เกี่ยวข้องกับเหตุการณ์นั้น ๆ (ตัวอย่างที่เห็นภาพชัดที่สุดคือผู้ป่วย PTSD ที่เกิดจากอุบัติเหตุเครื่องบินตกก็จะมีพฤติกรรมที่กลัวหรือต่อต้านการขึ้นเครื่องบิน เป็นต้น) ผู้ป่วยด้วย PTSD ยังมีความเสี่ยงสูงที่จะทำร้ายตนเองหรือฆ่าตัวตายด้วย


ผลการศึกษาในปี 2006 ในประเทศแคนาดาพบว่าความชุก (prevalence) ของผู้ป่วยด้วยโรค PTSD ในผู้รอดชีวิตจากการล่วงเกินทางเพศนั้นสูงกว่าความชุกเฉลี่ยของประชากรทั่วไปอย่างเห็นได้ชัด หนึ่งในประเด็นที่ตอกย้ำให้อาการของ PTSD ในผู้ถูกล่วงเกินทางเพศเป็นหนักขึ้นและส่งผลต่อการรักษาคือวัฒนธรรมการโทษเหยื่อ (victim-blaming) และความเข้าใจผิด ๆ เกี่ยวกับการข่มขืน ในการรักษาเยียวยาจิตใจของผู้ถูกกระทำชำเราทางเพศนั้นจำเป็นต้องอาศัยความช่วยเหลือร่วมกันระหว่างผู้ป่วยครอบครัว คนรอบข้าง และที่ขาดไม่ได้คือสังคม


การระรานทางเพศ “ในโรงเรียน” ถึงปัญหา “ในการเรียน”

ในกรณีของในโรงเรียนนั้น The Report Card on Gender Equity ของสหรัฐอเมริการายงานว่ากรณีการระรานทางเพศในโรงเรียนส่วนใหญ่เกิดขึ้นระหว่างนักเรียนกันเองมากกว่าที่จะเกิดขึ้นจากครูต่อนักเรียนส่วนนี้แสดงให้เห็นถึงความจำเป็นในการให้ความรู้และสร้างความตระหนักต่อปัญหาดังกล่าวมากขึ้นข้อมูลจาก American Association of University Women (AAUW) ระบุว่ากรณีต่าง ๆ ในโรงเรียนนั้นอาจส่งผลให้นักอรียนผู้ถูกกระทำเกิดความรู้สึกต่อต้านและหลบหลีกสถานที่ที่ถูกกระทำและการเผชิญหน้ากับผู้กระทำ ซึ่งในที่นี้รวมถึงครูด้วย ผลกระทบอื่น ๆ เช่น เกิดความรู้สึกไม่อยากไปโรงเรียนเลย, พูดคุยในชั้นเรียนน้อยลง, มีปัญหากับความพยายามจดจ่อต่อการเรียน และมีปัญหาในการเรียน ล้วนส่งผลกระทบโดยตรงต่อการเรียนของนักเรียน จึงอาจพูดได้ว่าส่งผลต่อความสามารถในการเรียนด้วย


ในส่วนของผู้กระทำซึ่งเป็นครูหรือเจ้าหน้าที่ของโรงเรียนนั้น เป็นไปได้ว่าเป็นผลมาจากความเครียดหรือปัญหาส่วนบุคคล ดังนั้นอาจพูดได้ว่าการดูแลรักษาสุขภาพจิตของครูหรือเจ้าหน้าที่ในโรงเรียนอาจมีส่วนช่วยลดปัญหานี้ได้เช่นกัน


ภายใต้สังคมที่ยังคงมีความเข้าใจผิดเกี่ยวกับการข่มขืนและมีวัฒนธรรมการโทษเหยื่อเช่นนี้ คงเป็นการยากที่ผู้ถูกกระทำจะกลับมามีชีวิตปกติ และผู้กระทำรายใหม่อาจเกิดขึ้นเรื่อย ๆ

ทางแก้ที่ดีที่สุดที่ทางนิสิตนักศึกษาแพทย์เพื่อประชาธิปไตยของเสนอและขอแนะนำให้ครูและบุคลากรทางการศึกษาทุกท่านนำไปปรับใช้คือการเร่งให้ความรู้และสร้างความตระหนักให้กับทั้งนักเรียนและบุคคลทั่วไป “ทุกคน” ถึงปัญหาและผลกระทบอันรุนแรงของการกระทำที่ปราศจากความยินยอมทางเพศเช่นนี้ รวมถึงสร้างวัฒนธรรมและความเข้าใจใหม่ต่อการระรานทางเพศว่า “ไม่ใช่เรื่องตลก” และ “ไม่ใช่ความผิดเหยื่อ” รวมถึงเหยื่อต้องไม่ถูกตีตรา (stigmatise) โดยสังคม และสร้างความกล้าที่จะพูดถึงปัญหานี้ให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในระดับระบบเช่นกัน


อ้างอิง:


ขอบคุณภาพประกอบจาก: Matthew Tostevin (@TostevinM / Twitter)

Kommentare


© 2021 นิสิตนักศึกษาแพทย์เพื่อประชาธิปไตย

bottom of page