กรณีการตรวจคัดกรองบุคคลที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ท่าพระจันทร์ ระหว่างพิธีพระราชทานปริญญาบัตร 2020
- Admin
- Oct 30, 2020
- 1 min read
แถลงการณ์นิสิตนักศึกษาแพทย์เพื่อประชาธิปไตย และข้อสังเกตบางประการ
ต่อกรณีการตรวจคัดกรองบุคคลที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ท่าพระจันทร์
ระหว่างพิธีพระราชทานปริญญาบัตร วันที่ 30 ตุลาคม 2020 ที่ดำเนินไปโดยไม่เหมาะสม
สืบเนื่องจากกรณีผู้ใช้เฟสบุคท่านหนึ่งโพสท์ข้อความระบุเกี่ยวกับการคัดกรองบุคคลเข้าภายในมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ เพื่อร่วมแสดงความยินดีกับบัณฑิตในการพระราชทานปริญญาบัตรแก่ผู้สำเร็จการศึกษาของมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ในวันที่ 30 ตุลาคม 2020 โดยผ่านทางทวีตของศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชน (@tlhr2014) ซึ่งอ้างข้อมูลจากโพสท์ดังกล่าว ใจความพบว่ามีการคัดกรองผู้ที่ “มีประวัติรับการรักษาทางจิตเวช” เพื่อป้องกัน “กลัวคุมตัวเองไม่อยู่” ซึ่งอาจเป็นภัยต่อความปลอดภัยและความมั่นคง
นิสิตนักศึกษาแพทย์เพื่อประชาธิปไตยขอเรียกร้องให้เจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องกับกรณีดังกล่าว, กรมสุขภาพจิต และ/หรือหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ออกมาชี้แจงกรณีที่เจ้าหน้าที่ตำรวจสามารถระบุตัวและเข้าถึงข้อมูลประวัติการรักษาโรคทางจิตเวช (เช่น โรคซึมเศร้า และอาจรวมถึงอาการเครียดทั่วไป — general anxiety) ได้จากการตรวจสอบหมายเลขบัตรประชาชนของประชาชนผู้เข้าร่วมแสดงความยินดีกับนักศึกษาเนื่องในพระราชพิธีพระราชทานปริญญาบัตรของมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ การที่เจ้าหน้าที่ทราบข้อมูลการรักษาแล้วนำสติกเกอร์สีชมพูมาติดเพื่อระบุกลุ่มบุคคลที่มีประวัติการรักษาโรคทางจิตเภทอย่างเปิดเผยนั้น มีประเด็นที่น่ากังวลเป็นอย่างยิ่งหลายประเด็น ได้แก่
การเปิดเผยความลับของผู้ป่วย (confidentiality) — โรงพยาบาลที่ให้การรักษาหรือหน่วยงานที่เกี่ยวข้องสามารถเปิดเผยความลับผู้ป่วยให้กับเจ้าหน้าที่ตำรวจโดยไม่ได้รับการยินยอมจากผู้ป่วยได้หรือไม่ ทั้งที่นี่เป็นการขัดต่อจรรยาบรรณแพทย์ขั้นพื้นฐานว่าด้วยการรักษาความลับของผู้ป่วย (confidentiality) ซึ่งเป็นจริยศาสตร์สากลที่ได้รับการยอมรับปฏิบัติอย่างเคร่งครัดโดยบุคลากรทางการแพทย์ และได้รับการรับรองภายใต้กฎหมายพระราชบัญญัติสุขภาพแห่งชาติ พ.ศ. 2550 ซึ่งได้รับรองว่าข้อมูลดังกล่าวมีสถานะเป็นความลับส่วนบุคคล ผู้ใดจะเปิดเผยมิได้ ถึงแม้ว่ารัฐสามารถร้องขอให้เปิดเผยได้ภายใต้สภาวะที่มีความสำคัญต่อสาธารณะ (reportable conditions) แต่เป็นที่น่าสนใจว่าการเข้ารับการรักษาด้วยอาการป่วยทางจิตเวชนั้นมีความสำคัญต่อสาธารณะมากเพียงใด หากอ้างจากข้อความดังกล่าว จะพบว่าอาการโรคจิตเวชที่พบทั่วไปอย่างอาการวิตกกังวลไปทั่ว (general anxiety) หรือโรคซึมเศร้า ก็อาจเข้าข่ายที่เจ้าหน้าที่ต้องทราบด้วย ทั้งสองโรคนี้มีผู้ป่วยจำนวนมากในประเทศไทย และเป็นโรคที่มีความแตกต่างในการแสดงออกทางคลินิกที่ต่างกัน มีความหนักเบาของอาการที่ต่างกัน แล้วทำไมเจ้าหน้าที่จึงใช้การเหมารวม (generalise) ว่าเป็นผู้ป่วยที่ “ควบคุมตัวเองไม่ได้”
การสร้างความรู้สึกแปลกแยกและสร้างตราบาปให้กับผู้ป่วย (stigmatisation) — การเลือกติดสติกเกอร์คัดแยกผู้ที่รักษาโรคทางจิตเวชเป็นการกระทำที่ทำให้ผู้ป่วย/เคยป่วย รู้สึกแปลกแยกจากผู้อื่น เป็นตัวประหลาด และเหมือนมีตราบาป (stigmatised) หรือไม่ ทั้ง ๆ ที่การรักษาในกลุ่มโรคหรืออาการทางจิตเวชจำเป็นต้องอาศัยการยอมรับและช่วยเหลือจากสังคมไปพร้อมกัน การกระทำเช่นนี้ถือเป็นการทำให้อับอาย (shame) และอาจส่งผลต่อการรักษาโรคได้ นอกจากนี้ยังต้องตั้งคำถามต่อการปฏิบัติเช่นนี้ว่ามีเป้าหมายเพื่ออะไรด้วย
การขาดการรับรู้และเข้าใจเกี่ยวกับโรคทางจิตเวช (mental illness illiteracy) — มีความจำเป็นมากเพียงใดที่ต้องคัดแยกว่าบุคคลหนึ่งมีประวัติเข้ารับการรักษาทางจิตเวช จากข้อมูลเท่าที่พบเป็นไปได้ว่าเป็นหนึ่งในมาตรการรักษาความปลอดภัยและรักษาความมั่นคงของชาติ หากเป็นเช่นนั้นจริง หน่วยงานที่เกี่ยวข้องต้องออกมาชี้แจงว่าการเคยเข้ารับการรักษาโรคทางจิตเวช (ซึ่งมีสเปกตรัมที่กว้าง — broad spectrum; ตั้งแต่ความเครียดทั่วไปไปจนถึงอาการที่จิตวิปลาส) นั้นจำเป็นหรือเกี่ยวข้องอันใดกับความมั่นคงหรือความปลอดภัย การกระทำเช่นนี้ถือเป็นการแสดงออกถึงการขาดความเข้าใจและขาดการรับรู้ (illiteracy) ในองค์รวมของการป่วยด้วยโรคหรืออาการทางจิตเวช เนื่องจากกรณีนี้เป็นผลมาจากการที่เจ้าหน้าที่เหมารวม (generalise) ว่า “ผู้เคยมีประวัติรับการรักษาทางจิตเวช” เป็นผู้ที่ “ควบคุมตัวเองไม่ได้” ซึ่งไม่เป็นความจริงแต่อย่างใด
นิสิตนักศึกษาแพทย์เพื่อประชาธิปไตย ขอประณามการกระทำนี้ และขอเรียกร้องให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องออกมาชี้แจงต่อกรณีนี้โดยไวที่สุด พร้อมทั้งขอใช้โอกาสนี้ในการให้ทุกท่านได้ศึกษาและทำความเข้าใจกับโรคจิตเวชต่าง ๆ รวมถึงโรคซึมเศร้า ซึ่งกำลังเป็นโรคที่พบได้มากขึ้นในประเทศไทยและทั่วโลก เพื่อช่วยดูแลกันและกัน และสร้างเสริมความเข้าใจและความตระหนักในปัญหาที่เจ้าหน้าที่ความมั่นคงดูจะไม่เข้าใจเท่าไร
ขอประชาธิปไตยจงเบ่งบาน
นิสิตนักศึกษาแพทย์เพื่อประชาธิปไตย
30 ตุลาคม 2020
อ้างอิง
U.S. Department of Health & Human Services. (2017, August 29). Mental Health Myths and Facts.
Retrieved October 30, 2020, from https://www.mentalhealth.gov/basics/mental-health-myths-facts
ศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชน [tlhr2014]. (2020, October 30). [Tweet]. Retrieved from
https://twitter.com/tlhr2014/status/1322098356961730560?s=21
ศักดา สถิรเรืองชัย, นพ. (2013). การรักษาความลับของผู้ป่วย. เวชบันทึกศิริราช, 6(2), 78-83. Retrieved from
https://he02.tci-thaijo.org/index.php/simedbull/article/download/81709/65001/
Comentarios