หมอต้องใส่ยูนิฟอร์มเพื่ออะไร?
- Admin
- Dec 1, 2020
- 1 min read

ภายหลังกระแส 1ธันวาบอกลาเครื่องแบบ ที่สร้างกระแสการพูดคุยเกี่ยวกับปัญหาและความจำเป็นในการใส่เครื่องแบบนักเรียน ในหลายการถกเถียง รวมถึงประเด็นที่ณัฐพล ทีปสุวรรณ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ มักยกขึ้นมา คือการเปรียบเทียบกับกรณีว่า “แพทย์ก็ต้องใส่เครื่องแบบเหมือนกัน” นิสิตนักศึกษาแพทย์เพื่อประชาธิปไตย จึงอยากพอทุกท่านมาย้อนมองกันว่า สรุปแล้วแพทย์ล่ะ ทำไมต้องใส่เครื่องแบบ?
ในรอบนี้เราจะพาทุกคนมาอ่านบทความ “Is it time for an evidence based uniform for doctors?” โดยนายแพทย์ริส คลีเมนท์ (Rhys Clement) และตีพิมพ์ในวารสาร BMJ ของอังกฤษ ที่มีการเสนอเครื่องแบบแพทย์เป็นชุดซุปเปอร์แมน (ในภาพ) และสรุป ทำไมเรายังต้องใส่เครื่องแบบนี้ต่อไป
เริ่มแรก หมอใส่เครื่องแบบแบบนี้กันตั้งแต่เมื่อไหร่?
แนวคิดหลัก ๆ ต่อการสวมเครื่องแบบแพทย์นั้นมีใจความเกี่ยวกับการรักษาความสะอาดมาตั้งแต่สมัยของฮิปโปกราตีส และมีวิวัฒนาการเรื่อยมาจากการค้นพบและการพิสูจน์เกี่ยวกับจุลินทรีย์ก่อโรคต่าง ๆจนถึงการออกแนวทางต่าง ๆ ของลอร์ดโจเซฟ ลิสเทอร์ (Joseph Lister) ผู้ริเริ่มการผ่าตัดแบบปลอดเชื้อ(antiseptic) สำหรับการดำเนินการผ่าตัดโดยปราศจากเชื้อโรค อย่างไรก็ตาม ลิสเทอร์ไม่เคยพูดถึงเรื่องของเครื่องแต่งกายว่าเป็นแหล่งเก็บเชื้อ จนกระทั่งลูกศิษย์ของเขา วิลเลียม มะเคเวน (William Macewen) ได้ริเริ่มการสวมเสื้อคลุมสีขาวที่คนไทยนิยมเรียกว่า “เสื้อกาวน์” ในบรรดาแพทย์ และกลายเป็นสัญลักษณ์ที่นิยมของการแต่งกายแบบแพทย์ตั้งแต่ศตวรรษที่ 20 เป็นต้นมา
จนกระทั่งในปี 2007 กระทรวงสาธารณสุข (Department of Health; DOH) ของอังกฤษได้ออกประกาศระเบียบการแต่งกายใหม่สำหรับแพทย์ โดยให้ “ถอดเสื้อคลุมขาว (เสื้อกาวน์) เสื้อคลุมทุกชนิด เนคไทนาฬิกาข้อมือ และให้ถกแขนเสื้อขึ้นด้วย” โดยใช้อ้างอิงสองชิ้นว่าด้วยการลดการติดต่อเชื้อโรคจากเครื่องแต่งกาย ที่ซึ่งต่อมาถูกวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนักว่าขาดความน่าเชื่อถือและมีรอยโหว่มากมาย จนกระทั่งในปี 2010 DOH ได้ออกประกาศฉบับใหม่ โดยให้การแต่งเครื่องแบบนั้นยึดถือหลักการสามข้อ
“ความปลอดภัยของผู้ป่วย (patient safety), การสร้างความมั่นใจต่อสาธารณะ (public confidence) และความสะดวกของแพทย์ (staff comfort)”
และ ใช่ DOH ไม่ได้บอกว่าเครื่องแบบของแพทย์ต้องหน้าตาเป็นอย่างไร ขอแค่ตามสามข้อนี้ก็พอ
หลักการทั้งสามข้อนี้ได้กลายมาเป็นหลักการที่ยอมรับในระดับสากลสำหรับการออกแบบเครื่องแต่งกายหรือเครื่องแบบสำหรับแพทย์
“แบบนี้ชุดซุปเปอร์แมนในภาพก็ต้องไม่ผิดสิ” นายแพทย์ริส คลีเมนท์ (Rhys Clement) ผู้เสนอเครื่องแบบในภาพคงคิดแบบนี้ และเขียนบทความที่ระบุว่าทำไมเครื่องแบบซุปเปอร์แมนนี้มันก็เป็นไปตามไกด์ไลน์ของ DOH ทุกประการ เผยแพร่ในวารสาร BMJ ไปในช่วงคริสต์มาสของปี 2012
สำหรับใครที่สนใจ สามารถไปอ่านบทความฉบับเต็มได้ที่https://www.researchgate.net/publication/233948398_Is_it_time_for_an_evidence_based_uniform_for_doctors
แบบนี้แล้ว ทำไมเครื่องแบบแพทย์ ถึงยังคงหน้าตาเป็นแบบนี้ ทำไมไม่เป็นแบบอื่น?
(ความคิดเห็นโดยนิสิตนักศึกษาแพทย์เพื่อประชาธิปไตย)
ประเด็นสำคัญที่ถกเถียงมากสำหรับเครื่องแบบแพทย์ จากสามประเด็นที่ DOH กำหนดไว้นั้น ดูจะเป็นข้อที่ว่า “public confidence” หรือว่าเครื่องแบบต้องสร้างความมั่นใจในสาธารณะต่อแพทย์ DOH ได้อธิบายหัวข้อนี้ไว้ว่าประกอบด้วย: ลักษณะภายนอกที่สร้างความเชื่อใจ (Appearance that inspires trust), โดดเด่นแตกต่าง ทำให้ง่ายต่อการระบุ (Easy to identify practitioner), สร้างความมั่นใจว่าเครื่องแบบนั้น“สะอาด” (Instils confidence that uniform is hygienic) และทำให้เกิดความรู้สึกที่สงบ (Calming effect)
เป็นเรื่องจริงที่เครื่องแบบแพทย์อย่างที่เป็นอยู่นั้นสร้างภาพจำต่อสาธารณะในการระบุว่าเป็น “แพทย์” ซึ่งผูกไว้กับความเชื่อใจในสาธารณะอยู่แล้ว จริง ๆ เครื่องแบบแพทย์ก็คงไม่จำเป็นต้องเปลี่ยนแปลงอะไรไปมากจากกาวน์ยาว กาวน์สั้น และเครื่องแบบอื่น ๆ ตามที่เรา ๆ เห็นและใส่กัน ทั้งนี้ก็เพื่อให้การดำเนินงานทางการแพทย์ดำเนินไปได้อย่างสมบูรณ์
อย่างไรก็ตาม ยังมีประเด็นเรื่องการใช้เครื่องประดับและข้อบังคับอื่น ๆ ในการแต่งกาย ที่นักเรียนแพทย์บางส่วนได้แต่อุทานว่า “อิหยังวะ” เช่น ระเบียบห้ามย้อมสีผม, ห้ามเจาะและสักลาย, ห้ามสวมกระโปรงสั้นทรงเอ ไปจนถึงห้ามสวมกางเกงขาเต่อ หากพิจารณาเรื่องเหล่านี้เข้ากับแนวคิด public confidence ข้างต้น ก็ควรต้องเป็นที่ถกเถียงกันต่อไป ว่าสังคมไทยมีการรับรู้ (perception) ต่อความน่าเชื่อถือของแพทย์อย่างไร เรามองว่าประเด็นนี้สมควรที่จะถูกนำมาพูดคุยและถกเถียงมากขึ้น เพื่อหาทางออกร่วมระหว่างเสรีภาพการแต่งกาย การสร้างความมั่นใจในเรือนร่างผ่านการแต่งกาย และใจความสำคัญของเครื่องแต่งกายแพทย์ดังที่ DOH กำหนดกันต่อไป
ที่มา
BMJ 2012;345:e8286 จาก https://www.researchgate.net/publication/233948398_Is_it_time_for_an_evidence_based_uniform_for_doctors
www.ncuh.nhs.uk/about-us/freedom-of-information/disclosure-log/requests/infection-control/000771-09.pdf.
Comments